|
Blog สำหรับนักศึกษารป.ม.มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เพื่อศึกษาเพิ่มเติมจากห้องเรียนและผู้ที่สนใจทั่วไป
4.22.2555
เผชิญหน้ากับความท้าทาย: แผนที่ในฐานะเป็นแบบจำลอง(Business Blueprint)
" AEC ไม่เกี่ยวกับ HR จริงหรือ? "
HR in Trend
" AEC ไม่เกี่ยวกับ HR จริงหรือ? "
เมื่อกล่าวถึง AEC (ASEAN Economic Community) หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งจะเกิด ขึ้นในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) อาจดูห่างไกลจากงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ แต่ถ้าพูดถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 จะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับงานของ HR อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่ชาว HR จะเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ HR คงต้องเห็นภาพกว้างของ AEC ก่อน
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) คืออะไร
อาเซียน (ASEAN : Association of Southeast Asian Nations) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นตามปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ประกอบด้วยสมาชิก 10 ประเทศ คือ ประเทศไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม สำหรับสมาชิก 4 ประเทศคือ กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม จะเรียกว่า กลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นสมาชิกที่เข้ามาเพิ่มภายหลัง สมาชิกอาเซียนได้ตกลงกันว่าจะร่วมมือกันใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านความมั่นคง ด้านสังคมและวัฒนธรรม และด้านเศรษฐกิจ จึงได้จัดตั้งประชาคมแต่ละด้าน ดังนี้
•ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community : ASC) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกอยู่อย่างสันติสุขและมีความมั่นคง
•ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio - Cultural Community : ASCC)มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชากรของประเทศสมาชิกมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี และได้รับการพัฒนาในทุกด้าน
•ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)
สำหรับ AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) นั้น ได้มีการจัดทำAEC Blueprint ซึ่งได้กำหนดระยะเวลาการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของประเทศสมาชิกอาเซียนจนถึงปีพ.ศ. 2558 อาเซียนจะไม่เก็บภาษีสินค้ากับประเทศสมาชิก นอกจากนี้ใน AEC Blueprint ได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 4 ด้านหลัก ดังนี้
1.การเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตร่วมกัน ให้สามารถเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ (Skilled Labour) ได้อย่างเสรี
2.การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน เช่น กำหนดกรอบนโยบายภาษี นโยบายการแข่งขัน สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
3.การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค เพราะประเทศสมาชิกอาเซียนจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสมาชิกเก่าซึ่งมีฐานทางเศรษฐกิจดีกว่ากลุ่มสมาชิกใหม่ (กลุ่ม CLMV)
4.การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจทั่วโลก ดำเนินการเพื่อประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค เช่น การจัดทำเขตการค้าเสรี การสร้างเครือข่ายการผลิตและการจำหน่าย
นอกจากนี้ยังมีการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศอื่นในด้านต่างๆ เช่น อาเซียน + 3 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น), อาเซียน + 6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย) เป็นต้น
จาก 4 ยุทธศาสตร์หลักของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กล่าวมาข้างต้น ชาว HR คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเกิดของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะไม่กระทบกับการทำงานของฝ่าย HR เลย แต่ผลกระทบที่มีต่อ HR ในแต่ละองค์กรจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าซีอีโอขององค์กรที่ท่านทำงานอยู่จะกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจไปในทิศทางใด ส่วน HR ก็ต้องกำหนดกลยุทธ์ที่เกี่ยวกับบุคลากรให้สอดคล้องกัน HR หลายท่านต้องเหนื่อยหน่อย ถ้าพื้นฐานด้านบุคลากรไม่แข็งแรง ไม่สามารถตอบสนองทิศทางการดำเนินธุรกิจได้
ผลกระทบของ AEC ต่อเศรษฐกิจของไทย
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สรุปผลกระทบจากการลดอัตราภาษีเป็น 0% ในปี พ.ศ. 2558 ไว้ดังนี้
•GDP ของประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ คือ เพิ่มขึ้นอีก 1.75%
•มูลค่าการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4,805.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแยกเป็นรายสินค้าสำคัญ ดังนี้
•มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยจากประเทศในกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็น 3,404.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแยกเป็นรายสินค้าสำคัญ ดังนี้
ดิฉันนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.citsonline.utcc.ac.th
ผลกระทบของ AEC ต่อการทำงานของ HR
การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีที่จะเริ่มขึ้นนั้น AEC ได้กำหนดไว้ว่าแรงงานกลุ่มนี้ต้องเป็นแรงงานฝืมือที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ซึ่งเริ่มที่ 7 สาขา คือ
1.แพทย์
2.ทันตแพทย์
3.พยาบาล
4.วิศวกรรม
5.บัญชี
6.สถาปัตยกรรม
7.การสำรวจ
นับว่าโชคดีที่เริ่มต้นด้วยการกำหนดเฉพาะกลุ่มแรงงานฝีมือใน 7 สาขาวิชาชีพเท่านั้น เพราะหากปล่อยให้เป็นการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีเลย อาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ เราลองมาจินตนาการดูว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในเวลานั้น ภาพในจินตนาการคงต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ เพราะ AEC อาจเพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่างเมื่อใกล้ๆ ถึงวันเริ่มต้นจริงๆ ตัวอย่าง เช่น
1.ในภาพรวมของตลาดแรงงานไทย (ในมิติของคนทำงาน) คยไทยที่มีอาชีพใน 7 สาขาข้างต้น ถ้าเป็นคนเก่ง มีความพร้อมที่จะทำงานไกลบ้าน และทักษะการใช้ภาษาดีซึ่งอาจไม่ใช่ภาษา อังกฤษอย่างเดียว จะมีโอกาสหางานที่โดนใจมากขึ้นเพราะตลาดแรงงานจะใหญ่ขึ้น คนกลุ่มนี้อาจไปทำงานที่สิงคโปร์ซึ่งได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า และจะกลับบ้านเมื่อไรก็ได้ ใกล้นิดเดียว ดังนั้นการย้ายงานจะอยู่ในลักษณะระหว่างประเทศ ไม่ใช่ระหว่างองค์กรใหญ่ๆ
2.ในภาพรวมของตลาดแรงงานไทย (ในมิติขององค์กร) ในเมื่อตลาดแรงงานใหญ่ขึ้นมาก องค์กรก็มีโอกาสในการเลือกแรงงานฝีมือจาก 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้เช่นกัน ไม่ว่าจะจ้างเข้ามาทำงานในประเทศไทย (ตรงนี้ HR ต้องจัดอบรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมข้ามชาติ หรือ Cross – Cultural) หรือ ย้ายองค์กร/เพิ่มสาขาไปยังประเทศที่มีแรงงานฝีมือตามที่ต้องการ
3.ในภาพขององค์กรที่เห็นโอกาสทางธุรกิจ เช่น ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์, ตลาดใหญ่ขึ้นเพราะ 10 ประเทศรวมเป็นตลาดเดียว (ประชากรเกือบ 600 ล้านคน), การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ช่วยลดต้นทุนไม่ว่าจะเป็นต้นทุนแรงงาน หรือ ต้นทุนการขนส่งเพราะมีระบบโลจิสติกส์ที่สะดวกและถูกลง ฯลฯ แต่เมื่อองค์กรต้องการคว้าโอกาสที่เห็น กลับไม่มีคนทำงาน HR ต้องคิดวิธีการสรรหาคนที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการ, วิธีรักษาและพัฒนาบุคลากรไว้ล่วงหน้า เช่น การกำหนดค่าตอบแทนสำหรับคนไทยที่จะไปทำงานต่างประเทศและสำหรับคนต่างประเทศที่จะมาทำงานในไทย, การปรับโครงสร้างค่าจ้างให้แข่งขันได้, การคิดรูปแบบสวัสดิการที่ตรงกับพนักงานในกลุ่มต่างๆ, การจัดอบรมและกิจกรรมเพื่อให้คนหลายเชื้อชาติทำงานร่วมกันได้, การสร้างสภาพแวดล้อมให้คนทำงานรู้สึกกระฉับกระเฉง มีบรรยากาศของการเรียนรู้ ฯลฯ การจัดโปรแกรมการพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการหาคนที่ “ใช่” เข้ามาทำงานเพราะการพัฒนาให้คนเก่งขึ้นต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 – 5 ปี
4.ในภาพขององค์กรเช่นกัน แต่เป็นองค์กรที่คาดว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทาย เพราะคู่แข่งจะเข้ามาถึงในบ้าน เช่น ต้นทุนของคู่แข่งต่ำกว่า, เกิดคู่แข่งใหม่ๆ หรือ อาจสูญเสียธุรกิจให้คู่แข่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ HR ต้องช่วยสนับสนุน CEO ในเรื่องการบริหารการเปลี่ยนแปลงก่อนที่วิกฤตจะมาถึงจริงๆ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นต้องเปลี่ยนจากการบริหารความเปลี่ยนแปลง (Change Management) เป็นการบริหารวิกฤต (Crisis Management) แทน และต้องปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ตั้งแต่การปรับโครงสร้างองค์กรให้เกิดความคล่องตัว การปรับกระบวนการทำงานให้กระชับขึ้น การปรับทีมงานให้เหมาะสม และการสร้างความรู้สึกร่วมที่จะพัฒนาตนเองและร่วมฝ่าฟันไปด้วยกัน สิ่งสำคัญ CEO ต้องเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจ และเมื่องานสำเร็จตามแผนการปรับเปลี่ยนต้องให้รางวัล
สรุปว่าในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) อาเซียนจะเปลี่ยนเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเป็นทั้ง “โอกาส” ที่คนไทยจะไปตักตวงผลประโยชน์ในต่างประเทศและเป็น “ความท้าทาย” ที่คนไทยต้องปรับตัวเพื่อให้แข่งขันกับต่างประเทศที่จะเข้ามาฉกฉวยโอกาสในประเทศของเราเช่นกัน เหลือเวลาอีกเพียง 4 ปีเท่านั้น คุณพร้อมแล้วหรือยังคะ?
ข้อมูลจากhttp://www.cdcthailand.com/news/HR/hr_law/2011/hr11_100.html
" AEC ไม่เกี่ยวกับ HR จริงหรือ? "
เมื่อกล่าวถึง AEC (ASEAN Economic Community) หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งจะเกิด ขึ้นในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) อาจดูห่างไกลจากงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ แต่ถ้าพูดถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 จะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับงานของ HR อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่ชาว HR จะเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ HR คงต้องเห็นภาพกว้างของ AEC ก่อน
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) คืออะไร
อาเซียน (ASEAN : Association of Southeast Asian Nations) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นตามปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ประกอบด้วยสมาชิก 10 ประเทศ คือ ประเทศไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม สำหรับสมาชิก 4 ประเทศคือ กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม จะเรียกว่า กลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นสมาชิกที่เข้ามาเพิ่มภายหลัง สมาชิกอาเซียนได้ตกลงกันว่าจะร่วมมือกันใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านความมั่นคง ด้านสังคมและวัฒนธรรม และด้านเศรษฐกิจ จึงได้จัดตั้งประชาคมแต่ละด้าน ดังนี้
•ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community : ASC) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกอยู่อย่างสันติสุขและมีความมั่นคง
•ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio - Cultural Community : ASCC)มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชากรของประเทศสมาชิกมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี และได้รับการพัฒนาในทุกด้าน
•ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)
สำหรับ AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) นั้น ได้มีการจัดทำAEC Blueprint ซึ่งได้กำหนดระยะเวลาการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของประเทศสมาชิกอาเซียนจนถึงปีพ.ศ. 2558 อาเซียนจะไม่เก็บภาษีสินค้ากับประเทศสมาชิก นอกจากนี้ใน AEC Blueprint ได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 4 ด้านหลัก ดังนี้
1.การเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตร่วมกัน ให้สามารถเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ (Skilled Labour) ได้อย่างเสรี
2.การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน เช่น กำหนดกรอบนโยบายภาษี นโยบายการแข่งขัน สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
3.การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค เพราะประเทศสมาชิกอาเซียนจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสมาชิกเก่าซึ่งมีฐานทางเศรษฐกิจดีกว่ากลุ่มสมาชิกใหม่ (กลุ่ม CLMV)
4.การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจทั่วโลก ดำเนินการเพื่อประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค เช่น การจัดทำเขตการค้าเสรี การสร้างเครือข่ายการผลิตและการจำหน่าย
นอกจากนี้ยังมีการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศอื่นในด้านต่างๆ เช่น อาเซียน + 3 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น), อาเซียน + 6 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย) เป็นต้น
จาก 4 ยุทธศาสตร์หลักของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กล่าวมาข้างต้น ชาว HR คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเกิดของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะไม่กระทบกับการทำงานของฝ่าย HR เลย แต่ผลกระทบที่มีต่อ HR ในแต่ละองค์กรจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าซีอีโอขององค์กรที่ท่านทำงานอยู่จะกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจไปในทิศทางใด ส่วน HR ก็ต้องกำหนดกลยุทธ์ที่เกี่ยวกับบุคลากรให้สอดคล้องกัน HR หลายท่านต้องเหนื่อยหน่อย ถ้าพื้นฐานด้านบุคลากรไม่แข็งแรง ไม่สามารถตอบสนองทิศทางการดำเนินธุรกิจได้
ผลกระทบของ AEC ต่อเศรษฐกิจของไทย
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สรุปผลกระทบจากการลดอัตราภาษีเป็น 0% ในปี พ.ศ. 2558 ไว้ดังนี้
•GDP ของประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ คือ เพิ่มขึ้นอีก 1.75%
•มูลค่าการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4,805.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแยกเป็นรายสินค้าสำคัญ ดังนี้
•มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยจากประเทศในกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็น 3,404.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแยกเป็นรายสินค้าสำคัญ ดังนี้
ดิฉันนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.citsonline.utcc.ac.th
ผลกระทบของ AEC ต่อการทำงานของ HR
การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีที่จะเริ่มขึ้นนั้น AEC ได้กำหนดไว้ว่าแรงงานกลุ่มนี้ต้องเป็นแรงงานฝืมือที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ซึ่งเริ่มที่ 7 สาขา คือ
1.แพทย์
2.ทันตแพทย์
3.พยาบาล
4.วิศวกรรม
5.บัญชี
6.สถาปัตยกรรม
7.การสำรวจ
นับว่าโชคดีที่เริ่มต้นด้วยการกำหนดเฉพาะกลุ่มแรงงานฝีมือใน 7 สาขาวิชาชีพเท่านั้น เพราะหากปล่อยให้เป็นการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีเลย อาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ เราลองมาจินตนาการดูว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในเวลานั้น ภาพในจินตนาการคงต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ เพราะ AEC อาจเพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่างเมื่อใกล้ๆ ถึงวันเริ่มต้นจริงๆ ตัวอย่าง เช่น
1.ในภาพรวมของตลาดแรงงานไทย (ในมิติของคนทำงาน) คยไทยที่มีอาชีพใน 7 สาขาข้างต้น ถ้าเป็นคนเก่ง มีความพร้อมที่จะทำงานไกลบ้าน และทักษะการใช้ภาษาดีซึ่งอาจไม่ใช่ภาษา อังกฤษอย่างเดียว จะมีโอกาสหางานที่โดนใจมากขึ้นเพราะตลาดแรงงานจะใหญ่ขึ้น คนกลุ่มนี้อาจไปทำงานที่สิงคโปร์ซึ่งได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า และจะกลับบ้านเมื่อไรก็ได้ ใกล้นิดเดียว ดังนั้นการย้ายงานจะอยู่ในลักษณะระหว่างประเทศ ไม่ใช่ระหว่างองค์กรใหญ่ๆ
2.ในภาพรวมของตลาดแรงงานไทย (ในมิติขององค์กร) ในเมื่อตลาดแรงงานใหญ่ขึ้นมาก องค์กรก็มีโอกาสในการเลือกแรงงานฝีมือจาก 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้เช่นกัน ไม่ว่าจะจ้างเข้ามาทำงานในประเทศไทย (ตรงนี้ HR ต้องจัดอบรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมข้ามชาติ หรือ Cross – Cultural) หรือ ย้ายองค์กร/เพิ่มสาขาไปยังประเทศที่มีแรงงานฝีมือตามที่ต้องการ
3.ในภาพขององค์กรที่เห็นโอกาสทางธุรกิจ เช่น ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์, ตลาดใหญ่ขึ้นเพราะ 10 ประเทศรวมเป็นตลาดเดียว (ประชากรเกือบ 600 ล้านคน), การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ช่วยลดต้นทุนไม่ว่าจะเป็นต้นทุนแรงงาน หรือ ต้นทุนการขนส่งเพราะมีระบบโลจิสติกส์ที่สะดวกและถูกลง ฯลฯ แต่เมื่อองค์กรต้องการคว้าโอกาสที่เห็น กลับไม่มีคนทำงาน HR ต้องคิดวิธีการสรรหาคนที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการ, วิธีรักษาและพัฒนาบุคลากรไว้ล่วงหน้า เช่น การกำหนดค่าตอบแทนสำหรับคนไทยที่จะไปทำงานต่างประเทศและสำหรับคนต่างประเทศที่จะมาทำงานในไทย, การปรับโครงสร้างค่าจ้างให้แข่งขันได้, การคิดรูปแบบสวัสดิการที่ตรงกับพนักงานในกลุ่มต่างๆ, การจัดอบรมและกิจกรรมเพื่อให้คนหลายเชื้อชาติทำงานร่วมกันได้, การสร้างสภาพแวดล้อมให้คนทำงานรู้สึกกระฉับกระเฉง มีบรรยากาศของการเรียนรู้ ฯลฯ การจัดโปรแกรมการพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าการหาคนที่ “ใช่” เข้ามาทำงานเพราะการพัฒนาให้คนเก่งขึ้นต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 – 5 ปี
4.ในภาพขององค์กรเช่นกัน แต่เป็นองค์กรที่คาดว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทาย เพราะคู่แข่งจะเข้ามาถึงในบ้าน เช่น ต้นทุนของคู่แข่งต่ำกว่า, เกิดคู่แข่งใหม่ๆ หรือ อาจสูญเสียธุรกิจให้คู่แข่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ HR ต้องช่วยสนับสนุน CEO ในเรื่องการบริหารการเปลี่ยนแปลงก่อนที่วิกฤตจะมาถึงจริงๆ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นต้องเปลี่ยนจากการบริหารความเปลี่ยนแปลง (Change Management) เป็นการบริหารวิกฤต (Crisis Management) แทน และต้องปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ตั้งแต่การปรับโครงสร้างองค์กรให้เกิดความคล่องตัว การปรับกระบวนการทำงานให้กระชับขึ้น การปรับทีมงานให้เหมาะสม และการสร้างความรู้สึกร่วมที่จะพัฒนาตนเองและร่วมฝ่าฟันไปด้วยกัน สิ่งสำคัญ CEO ต้องเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจ และเมื่องานสำเร็จตามแผนการปรับเปลี่ยนต้องให้รางวัล
สรุปว่าในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) อาเซียนจะเปลี่ยนเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเป็นทั้ง “โอกาส” ที่คนไทยจะไปตักตวงผลประโยชน์ในต่างประเทศและเป็น “ความท้าทาย” ที่คนไทยต้องปรับตัวเพื่อให้แข่งขันกับต่างประเทศที่จะเข้ามาฉกฉวยโอกาสในประเทศของเราเช่นกัน เหลือเวลาอีกเพียง 4 ปีเท่านั้น คุณพร้อมแล้วหรือยังคะ?
ข้อมูลจากhttp://www.cdcthailand.com/news/HR/hr_law/2011/hr11_100.html
เทรนด์การบริหารงานบุคคล ปี 2555
เทรนด์การบริหารงานบุคคล ปี 2555
มี 4 ประเด็นที่ร้อนแรงในปีนี้ คือ Technology, Diversity, Mobility และ Employability
โดย สำหรับปี 2554 ที่เพิ่งผ่านไป แม้ว่าแนวโน้มทางเศรษฐกิจในช่วง ครึ่งปีแรกจะปรับตัวดีขึ้นเนื่อ งจากปัจจัยทางการเมืองภายหลังกา รเลือกตั้งเริ่มคลี่คลาย แต่ปัญหามหาอุทกภัยตอนปลายปีก็ส ่งผลกระทบโดยตรง ทำให้การดำเนินธุรกิจขาดความต่อ เนื่อง มาตรการเตรียมความพร้อมสำหรับบร ิหารงานในภาวะวิกฤต(Crisis Management) โดยกำหนดแผนรองรับเหตุการณ์ที่อ าจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กลายเป็นประเด็นใกล้ตัวที่ทุกอง ค์กรต้องหันมาเอาใจใส่มากขึ้น เช่นเดียวกับปัญหาการสรรหาและรั กษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามา รถในวิชาชีพที่ขาดแคลน ซึ่งจะทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เนื่องจากข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิ จอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) กำลังจะเริ่มมีผลในทางปฏิบัติ การเปิดเสรีให้แรงงานฝีมือเคลื่ อนย้ายได้อย่างอิสระ ทำให้พนักงานที่มีความรู้ความสา มารถสูงมีโอกาสมากขึ้นที่จะเคลื ่อนย้ายไปทำงานในตลาดแรงงานอื่น ๆ ในภูมิภาค
ถ้ามองทิศทางการบริหารงาน HR ในปี 2555 ประเด็นสำคัญที่นักบริหารทรัพยา กรมนุษย์ควรพิจารณาเป็นปัจจัยหล ักในการกำหนดกลยุทธ์ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องเดิม แต่อาจมีแง่มุมของปัญหาที่เปลี่ ยนไป รวมทั้งมีเรื่องใหม่ๆ ที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้ นเช่นกัน ถ้าจะกล่าวโดยรวม สามารถแยกออกได้เป็น 4 ประเด็น คือ Technology, Diversity, Mobility และ Employability
Technology: HR จะก้าวไกลต้องอาศัย ไอที เทคโนโลยี
เทคโนโลยีสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ย วข้องกับงาน HR มาใช้ในงานบริหารบุคคลมีการพัฒน ามากขึ้นเป็นลำดับ นอกเหนือจากจะช่วยในเรื่องการกา รสื่อสารภายในองค์กรได้ทั่วถึงแ ละมีประสิทธิภาพ เช่น เว็บสื่อสารสำหรับพนักงาน (Employees’ Portals) การประชุมทางไกลด้วยวิดีโอ (VDO Conference) เทคโนโลยียังช่วยให้พนักงานสามา รถบริหารจัดการข้อมูลทางออนไลน์ ได้ด้วยตนเอง (Employee Self-Service Online) เช่น การลากิจ ลาป่วย การใช้สิทธิ์บริการด้านสุขภาพ รวมทั้งระบบแจ้งเงินเดือน ค่าล่วงเวลา ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีสา รสนเทศมาพัฒนาระบบสำหรับหัวหน้า งานใช้บริหารบุคลากรในหน่วยงานข องตนเอง เช่นระบบการประเมินผลงานที่เชื่ อมโยงเป้าหมายและดัชนีชี้วัดควา มสำเร็จของงาน การให้รางวัลและการยกย่องผลงาน เป็นต้น เทคโนโลยีสำหรับ HR ที่จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต คือ ระบบที่ช่วยในการเรียนรู้และพัฒ นาศักยภาพของพนักงาน เช่น การใช้ e-learning เพื่อสร้างความสะดวกสำหรับผู้เร ียน สามารถเข้าไปศึกษาและพัฒนาความร ู้ของตนเองได้โดยไม่จำกัดเวลาแล ะสถานที่ โปรแกรมฝึกอบรมที่ผสมผสานการใช้ คอมพิวเตอร์ สร้างแบบจำลองสถานการณ์ ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถเข ้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น การใช้เว็บบอร์ดและ Weblog เพื่อสร้างความสะดวกให้พนักงานม ีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกั น รวมทั้งระบบติดตามและสนับสนุนกา รสอนงาน (Mentoring and Coaching) เป็นต้น ที่สำคัญและเริ่มเป็นที่นิยมมาก ขึ้น คือ การใช้ Twitter และ Facebook เป็นช่องทางสื่อสารสำหรับองค์กร ถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านทางเครือข่ ายสังคมออนไลน์ ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันเชื่อ มโยงระหว่างองค์กรกับบุคคลภายนอ ก สนับสนุนการรับสมัครงาน รวมทั้งยังช่วยลดช่องว่างการสื่ อสารระหว่างคนต่างรุ่น อีกด้วย
Diversity: ถึงเวลาต้องเรียนรู้การบริหารงา นบนความหลากหลาย
โครงสร้างบุคลากรในองค์กรส่วนให ญ่ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เริ่มมีบุคลากรอายุน้อย กลุ่ม Generation Y มากขึ้น ผสมผสานกับผู้บริหารระดับสูงในก ลุ่ม Baby Boomer และ ผู้บริหารระดับกลางในกลุ่ม Generation X อายุและเพศ เป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลาย (Diversity) ที่พบเห็นได้ง่ายในองค์กร ถ้าสามารถบริหารความหลากหลายดัง กล่าวได้ดี จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์และน วัตกรรมที่สามารถเสริมศักยภาพขอ งองค์กรให้แข่งขันได้และเติบโตอ ย่างยั่งยืน ความหลากหลาย (Diversity) ไม่ใช่ความแตกต่าง (Difference) การจัดการความหลากหลายที่ HR ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม จึงต้องเริ่มต้นจากส่งเสริมการย อมรับและเคารพในความแตกต่างของแ ต่ละบุคคล สภาพแวดล้อมรวมทั้งกฎระเบียบในส ำนักงาน ต้องไม่ขัดขวางหรือเลือกปฏิบัติ HR ควรทำงานร่วมกับผู้บริหาร สร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน เน้นเพิ่มพื้นที่เปิด (Open Space) สำหรับการนั่งพูดคุยหรือประชุมง าน รวมทั้งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก ที่จำเป็น ถ้าพนักงานรู้สึกมีอิสระ สามารถแสดงออกโดยไม่ติดขัดที่ลำ ดับขั้นในองค์กร จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจสร้างแนว ความคิด หรือผลงานใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่แสดงใ ห้เห็นว่า องค์กรมีแนวโน้มจะประสบความสำเร ็จมากขึ้น ถ้ายอมรับให้มีการเพิ่มสัดส่วนส ตรีในคณะกรรมการเจ้าหน้าบริหาร เพราะจะทำให้การตัดสินใจโดยเฉพา ะกลยุทธ์ทางการตลาด มีความละเอียดรอบคอบมากขึ้นเนื่ องจากผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเข้า ใจพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภ คได้ดีกว่าผู้ชาย นอกเหนือจากเรื่องเพศและวัย ผู้บริหารจำเป็นต้องเข้าใจความห ลายหลายทางวัฒนธรรมให้มากขึ้นเพ ราะการเปิดตลาดเสรี ทำให้มีการตั้งฐานการผลิตในต่าง ประเทศ การเข้าใจระบบเศรษฐกิจ กฎหมาย สังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี ให้การยอมรับและเต็มใจที่จะเรีย นรู้ความหลากหลายทางมิติวัฒนธรร มของประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิ จ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
Mobility: การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ คือโอกาส
อาเซียนมีเป้าหมายให้ปี 2558 เป็นปีเริ่มต้นในการรวมกลุ่มประ เทศในลักษณะของ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงา นเป็นไปได้เสรีมากขึ้น ผลกระทบที่ตามมาคือ แรงงานฝีมือจะออกไปทำงานนอกประเ ทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแรงงานในสาขาวิศวกรรม สถาปัตยกรรม แพทย์ ทันตแพทย์ และบัญชี ประเทศที่มีศักยภาพ เช่นสิงคโปร์ จะดึงบุคลากรที่มีความรู้ความสา มารถไปร่วมงาน ด้วยค่าแรงที่จูงใจมากกว่า ในอดีตการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมื อไปทำงานในต่างประเทศ ถูกมองในแง่ลบ ว่านำไปสู่ปัญหาสมองไหล (Brain Drain) แต่ปัจจุบัน ควรจะมองว่าเป็นโอกาสในการพัฒนา หรือ Reverse Brain Drain องค์กรที่มีสำนักงานในต่างประเท ศ สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานให้กับ พนักงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสสำหรับหมุน เวียนพนักงานในระหว่างสำนักงาน เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทักษะ และเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม แรงงานฝีมือจำเป็นต้องมีความสาม ารถเชิงสมรรถนะที่เป็นที่ต้องกา รในตลาดแรงงานสากล เช่น การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสา ร (English Communication) ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเ อง (Self-Learning) ความแคล่วคล่องในการใช้คอมพิวเต อร์ (Computer Literacy) ความคิดเชิงระบบ (Systematic Thinking) และการตระหนักรู้ในวัฒนธรรม (Cultural Awareness) HR จำเป็นต้องออกแบบการพัฒนาบุคลาก รให้พนักงานท้องถิ่นมีความสามาร ถเพียงพอและมีศักยภาพตามที่หน่ว ยงานในต่างประเทศต้องการ การหมุนเวียนพนักงานไปทำงานในต่ างประเทศจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งใ นการรักษาคนเก่ง (Talent Retention) ให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น
Employability: จะได้งานดี ต้องมีทั้ง ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์
ในอดีต HR มักจะถามผู้สมัครงานว่าจะทำอะไร ให้เป็นประโยชน์กับองค์กรได้บ้า ง แต่ในปัจจุบันการสรรหาคนเก่งไม่ ใช่เรื่องง่าย ผู้สมัครจะตั้งคำถามกลับว่า ถ้าเลือกที่จะมาทำงานที่นี่จะได ้เรียนรู้อะไรบ้าง ความรู้ ที่เรียนมาจากสถาบันการศึกษาอาจ ใช้ได้แค่บางส่วน การทำงานในองค์กรที่ดี จะช่วยเพิ่มพูนทักษะความ สามารถ และถ้าได้รับการสอนงานจากหัวหน้ างานที่เป็นต้นแบบ (Role Model) จะยิ่งเพิ่มศักยภาพได้ในช่วงเวล าอันสั้น หากบุคลากรสามารถเรียนรู้ได้อย่ างรวดเร็ว เป็นไปได้ว่าองค์กรอาจไม่สามารถ รักษาพนักงานไว้ได้นาน เพราะคนรุ่นใหม่จะแสวงหาสิ่งที่ ท้าทายกว่าอยู่เสมอ HR จะต้องปรับเปลี่ยนวิธีบริหารจัด การเพื่อให้สามารถรักษาคนเก่งไว ้ได้นาน ๆ ซึ่งรวมถึงการบริหารค่าตอบแทนต้ องเป็นไปแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ไม่ใช่จ่ายตามอายุงาน ตำแหน่งหรือขอบเขตความรับผิดชอบ ต้องจัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยให ้ใช้งาน ออกแบบการฝึกอบรมให้เหมาะกับตัว พนักงาน (Training Customization) เพิ่มโอกาสโยกย้ายข้ามไปทำงานใน หน่วยธุรกิจอื่น เพื่อให้สามารถเรียนรู้งานได้ใน วงกว้าง รวมทั้งสร้างบรรยากาศการทำงานที ่ทำให้พนักงานรู้สึกสนุกกับงาน และเอื้ออำนวยให้พนักงานอยากนำศ ักยภาพของตนเองออกมาใช้ให้มากที ่สุด
แนวโน้มดังกล่าวข้างต้น มีแง่มุมที่อาจเป็นประโยชน์ต่อน ักบริหารทรัพยากรมนุษย์ ในการกำหนดกลยุทธ์ HR สำหรับปี 2555 ซึ่งการเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ จะช่วยกำหนดทิศทางกลยุทธ์ได้ถูก ต้องมากขึ้น
-------------------------
ข้อมูลจาก ดร. ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายทรัพยากรบุคคลและพัฒนาองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย ติดต่อ nutavoot@bot.or.th
มี 4 ประเด็นที่ร้อนแรงในปีนี้ คือ Technology, Diversity, Mobility และ Employability
โดย สำหรับปี 2554 ที่เพิ่งผ่านไป แม้ว่าแนวโน้มทางเศรษฐกิจในช่วง
ถ้ามองทิศทางการบริหารงาน HR ในปี 2555 ประเด็นสำคัญที่นักบริหารทรัพยา
Technology: HR จะก้าวไกลต้องอาศัย ไอที เทคโนโลยี
เทคโนโลยีสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงไป
Diversity: ถึงเวลาต้องเรียนรู้การบริหารงา
โครงสร้างบุคลากรในองค์กรส่วนให
Mobility: การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ คือโอกาส
อาเซียนมีเป้าหมายให้ปี 2558 เป็นปีเริ่มต้นในการรวมกลุ่มประ
Employability: จะได้งานดี ต้องมีทั้ง ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์
ในอดีต HR มักจะถามผู้สมัครงานว่าจะทำอะไร
แนวโน้มดังกล่าวข้างต้น มีแง่มุมที่อาจเป็นประโยชน์ต่อน
-------------------------
ข้อมูลจาก ดร. ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายทรัพยากรบุคคลและพัฒนาองค์กร
HAPPY MODEL สร้างสุขให้ ทรัพยากรมนุษย์ จุดเริ่มแรกสมาชิกคุณภาพ AEC
HAPPY MODEL สร้างสุขให้ ทรัพยากรมนุษย์ จุดเริ่มแรกสมาชิกคุณภาพ AEC
อีกเพียง 3 ปี เท่านั้น!!! ประเทศไทยก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับภูมิภาคอาเซียน ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ด้วยการเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558
ในส่วนของระบบเศรษฐกิจที่ถือเป็นคีย์แมนในการขับเคลื่อนประเทศ ก็กำลังเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้อย่างยิ่งยวด เพื่อให้การเปลี่ยนฐานการผลิตเข้าสู่โหมดของ AEC สร้างคุณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ ให้แก่ ประเทศไทย และน่าทึ่งว่ามุมมองของการปรับเปลี่ยนเตรียมพร้อมนี้ มิได้มุ่งหวังแต่การทำกำไรหรือมุ่งเน้นแต่จะสร้างสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) แต่หากยังคำนึงถึงการพัฒนาฐานเศรษฐกิจในรูปแบบ องค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) ร่วมด้วย
โดยงานนี้หัวเรือใหญ่จากภาคธุรกิจอย่าง พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิพล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยบอกไว้ว่า การเข้าสู่การเป็นสมาชิก AEC จำเป็นที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันในการเตรียมความพร้อม เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นอย่างสูงสุด แต่กระนั้น เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบโดยตรงในการเกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นได้เลย จึงจำเป็นที่จะต้องหากลไกวิธีการให้การแข่งขันที่รุนแรงนี้ ไม่กระทบกับความเป็นอยู่ของแรงงานไทยที่มีคุณภาพและฝีมือ ส่วนตัวคิดว่าหลักคิดแบบองค์กรแห่งความสุขหรือแฮปปี้ เวิร์คเพลส ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสุขภาพ (สสส.) จะเป็นเครื่องมือตอบโจทย์ในจุดนี้ได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นสภาอุตสาหกรรม สมาชิกส่วนใหญ่จึงเป็นระบบการผลิตที่มีพนักงาน เจ้าหน้าที่ และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานอาทิตย์ละ 5-6 วัน วันละ 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า ทำให้บรรยากาศในการทำงานไม่น่าพิศมัย เนื่องจากเน้นการแข่งขันที่เร่งรีบและกดดันเป็นหลัก ทำให้ผู้คนไม่อยากตื่นเช้ามาทำงานสักเท่าไรนัก หรือถ้ามาทำก็ทำแบบซังกะตายไปอย่างนั้น
ทว่า หลังจากที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดได้ร่วมมือกับ สสส. จัดทำโครงการแฮปปี้ เวิร์กเพลส กับองค์กรต่างๆ ผลที่ออกมานั้นดีเกินคาด เพราะมุมมองต่อแรงงานนั้นเปลี่ยนไป คือไม่ได้มองแค่เชิงของรายได้หรือจำนวนการผลิต แต่มองในเชิงฝีมือ การให้ใจ การสร้างความสุขในที่ทำงานมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ตอบกลับมาก็คือพนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้ความร่วมมือกับองค์กรจนบริษัทเจริญรุดหน้า ซึ่งนั่นหมายถึงการขับเคลื่อนระดับประเทศ
"ภายใต้การเปิดเสรี AEC ที่อาจทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง ขณะที่ทุนแรงงานหรือมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ส่งผลต่อความสำเร็จและอยู่รอดขององค์กรท่ามกลางกระแสการค้าเสรี ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และเป็นภูมิคุ้มกันต่อการเปิดเสรี AEC" พยุงศักดิ์ ระบุ
เขายังบอกต่อด้วยว่า ผู้นำองค์กรในฐานะที่เป็นปัจจัยหลักในการสร้างความสุขในที่ทำงาน ต้องส่งเสริมการทำงานและกำหนดทิศทางที่ชัดเจนในการทำงาน การสร้างขวัญกำลังใจ รวมถึงโอกาสและความพึงพอใจให้แก่พนักงานของตนเอง จึงเป็นบทสรุปได้ว่าการพัฒนาทุนมนุษย์จำเป็นต้องดำเนินไปพร้อมๆ กับวิสัยทัศน์ของผู้นำในอันที่จะสร้างความสุขในที่ทำงาน
"ผมมองว่าแฮปปี้ เวิร์กเพลส เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสมดุลระหว่างความสุขและความสำเร็จ องค์กรที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลสามารถริเริ่มความสุขแก่พนักงานได้เพียงแค่กล้าปรับทัศนคติเรื่องคน และมีการลงทุนเพื่อพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวคน เพื่อให้แรงงานเหล่านี้นำความรู้และทักษะที่เพิ่มพูน มาพัฒนาผลิตภาพแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลในการทำงาน อันจะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนท่ามกลางการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีภายใต้กรอบ AEC จึงเป็นความท้าทายไม่น้อยว่า องค์กรหรือบริษัทของไทยจะรักษาแรงงานฝีมือที่มีอยู่ไว้ได้อย่างไร" พยุงศักดิ์ ให้ข้อคิดเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม นอกจากการนำเอาแนวคิดแฮปปี้ เวิร์กเพลส เข้าสู่ระบบการทำให้เศรษฐกิจไทยมุ่งหน้าสู่ AEC อย่างมีคุณภาพแล้ว ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังได้คลอด 5 ยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนชาติสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย โดยยุทธศาสตร์ที่ 1 จะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่ AEC ผ่านการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงพาณิชย์ ในการประชุมหารือ หรือแลกเปลี่ยนการเยือนของภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศสมาชิกอาเซียน ยุทธศาสตร์ที่ 2 เน้นการปรับตัวและการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ AEC โดยเร่งการผลักดันการกำหนดมาตรฐานสินค้าอาเซียน ควบคู่กับการกำหนดมาตรฐานบังคับสำหรับสินค้านำเข้า เพื่อป้องกันการนำสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 เตรียมความพร้อมด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานใน AEC ด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานให้อยู่ในระดับสากล และผลักดันในภาษาอังกฤษภาษาทางการภาษาที่ 2 ของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาระบบโลจิสติกส์ เนื่องจากขาดความเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทางกระทรวงคมนาคม จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบขนส่งที่เชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรม และ ยุทธศาสตร์ที่ 5 ส่งเสริมการลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสร้างหรือรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิต แรงงาน วัตถุดิบ หรือต้นทุนโลจิสติกส์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น โดยศึกษาจากการวิจัยข้อมูลเชิงลึกด้านกฎหมาย กฎระเบียทางการค้าการลงทุน และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน "คน" สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร ...และการจะให้คนทำงานอย่างมีความสุขภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมตามแนวคิด แฮปปี้ เวิร์กเพลส ได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์อันแรงกล้าของทั้งผู้นำสูงสุดขององค์กร ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ และตัวพนักงานขององค์กรเอง ที่จะร่วมใจกับการเปลี่ยนที่ทำงานให้เป็นบ้านหลังที่สอง และสร้างสรรค์ให้เป็นองค์กรแห่งความสุขอย่างแท้จริง
สนใจแนวคิด "องค์กรแห่งความสุข หรือ Happy Work Place" ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฝากบอกว่าไม่ควรพลาดงาน Happy Workplace Forum:5 Apps to happy Workplace3.0 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 มี.ค.2555 ณ ห้องบอลลูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมwww.thaihealth.or.th
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 00:00:40 น.
อีกเพียง 3 ปี เท่านั้น!!! ประเทศไทยก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับภูมิภาคอาเซียน ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ด้วยการเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558
ในส่วนของระบบเศรษฐกิจที่ถือเป็นคีย์แมนในการขับเคลื่อนประเทศ ก็กำลังเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้อย่างยิ่งยวด เพื่อให้การเปลี่ยนฐานการผลิตเข้าสู่โหมดของ AEC สร้างคุณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ ให้แก่ ประเทศไทย และน่าทึ่งว่ามุมมองของการปรับเปลี่ยนเตรียมพร้อมนี้ มิได้มุ่งหวังแต่การทำกำไรหรือมุ่งเน้นแต่จะสร้างสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) แต่หากยังคำนึงถึงการพัฒนาฐานเศรษฐกิจในรูปแบบ องค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) ร่วมด้วย
โดยงานนี้หัวเรือใหญ่จากภาคธุรกิจอย่าง พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิพล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยบอกไว้ว่า การเข้าสู่การเป็นสมาชิก AEC จำเป็นที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันในการเตรียมความพร้อม เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นอย่างสูงสุด แต่กระนั้น เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบโดยตรงในการเกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นได้เลย จึงจำเป็นที่จะต้องหากลไกวิธีการให้การแข่งขันที่รุนแรงนี้ ไม่กระทบกับความเป็นอยู่ของแรงงานไทยที่มีคุณภาพและฝีมือ ส่วนตัวคิดว่าหลักคิดแบบองค์กรแห่งความสุขหรือแฮปปี้ เวิร์คเพลส ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสุขภาพ (สสส.) จะเป็นเครื่องมือตอบโจทย์ในจุดนี้ได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นสภาอุตสาหกรรม สมาชิกส่วนใหญ่จึงเป็นระบบการผลิตที่มีพนักงาน เจ้าหน้าที่ และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานอาทิตย์ละ 5-6 วัน วันละ 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า ทำให้บรรยากาศในการทำงานไม่น่าพิศมัย เนื่องจากเน้นการแข่งขันที่เร่งรีบและกดดันเป็นหลัก ทำให้ผู้คนไม่อยากตื่นเช้ามาทำงานสักเท่าไรนัก หรือถ้ามาทำก็ทำแบบซังกะตายไปอย่างนั้น
ทว่า หลังจากที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดได้ร่วมมือกับ สสส. จัดทำโครงการแฮปปี้ เวิร์กเพลส กับองค์กรต่างๆ ผลที่ออกมานั้นดีเกินคาด เพราะมุมมองต่อแรงงานนั้นเปลี่ยนไป คือไม่ได้มองแค่เชิงของรายได้หรือจำนวนการผลิต แต่มองในเชิงฝีมือ การให้ใจ การสร้างความสุขในที่ทำงานมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ตอบกลับมาก็คือพนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้ความร่วมมือกับองค์กรจนบริษัทเจริญรุดหน้า ซึ่งนั่นหมายถึงการขับเคลื่อนระดับประเทศ
"ภายใต้การเปิดเสรี AEC ที่อาจทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง ขณะที่ทุนแรงงานหรือมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ส่งผลต่อความสำเร็จและอยู่รอดขององค์กรท่ามกลางกระแสการค้าเสรี ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และเป็นภูมิคุ้มกันต่อการเปิดเสรี AEC" พยุงศักดิ์ ระบุ
เขายังบอกต่อด้วยว่า ผู้นำองค์กรในฐานะที่เป็นปัจจัยหลักในการสร้างความสุขในที่ทำงาน ต้องส่งเสริมการทำงานและกำหนดทิศทางที่ชัดเจนในการทำงาน การสร้างขวัญกำลังใจ รวมถึงโอกาสและความพึงพอใจให้แก่พนักงานของตนเอง จึงเป็นบทสรุปได้ว่าการพัฒนาทุนมนุษย์จำเป็นต้องดำเนินไปพร้อมๆ กับวิสัยทัศน์ของผู้นำในอันที่จะสร้างความสุขในที่ทำงาน
"ผมมองว่าแฮปปี้ เวิร์กเพลส เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสมดุลระหว่างความสุขและความสำเร็จ องค์กรที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลสามารถริเริ่มความสุขแก่พนักงานได้เพียงแค่กล้าปรับทัศนคติเรื่องคน และมีการลงทุนเพื่อพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวคน เพื่อให้แรงงานเหล่านี้นำความรู้และทักษะที่เพิ่มพูน มาพัฒนาผลิตภาพแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลในการทำงาน อันจะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนท่ามกลางการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีภายใต้กรอบ AEC จึงเป็นความท้าทายไม่น้อยว่า องค์กรหรือบริษัทของไทยจะรักษาแรงงานฝีมือที่มีอยู่ไว้ได้อย่างไร" พยุงศักดิ์ ให้ข้อคิดเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม นอกจากการนำเอาแนวคิดแฮปปี้ เวิร์กเพลส เข้าสู่ระบบการทำให้เศรษฐกิจไทยมุ่งหน้าสู่ AEC อย่างมีคุณภาพแล้ว ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังได้คลอด 5 ยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนชาติสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย โดยยุทธศาสตร์ที่ 1 จะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่ AEC ผ่านการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงพาณิชย์ ในการประชุมหารือ หรือแลกเปลี่ยนการเยือนของภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศสมาชิกอาเซียน ยุทธศาสตร์ที่ 2 เน้นการปรับตัวและการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ AEC โดยเร่งการผลักดันการกำหนดมาตรฐานสินค้าอาเซียน ควบคู่กับการกำหนดมาตรฐานบังคับสำหรับสินค้านำเข้า เพื่อป้องกันการนำสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 เตรียมความพร้อมด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานใน AEC ด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานให้อยู่ในระดับสากล และผลักดันในภาษาอังกฤษภาษาทางการภาษาที่ 2 ของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาระบบโลจิสติกส์ เนื่องจากขาดความเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทางกระทรวงคมนาคม จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบขนส่งที่เชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรม และ ยุทธศาสตร์ที่ 5 ส่งเสริมการลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสร้างหรือรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิต แรงงาน วัตถุดิบ หรือต้นทุนโลจิสติกส์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น โดยศึกษาจากการวิจัยข้อมูลเชิงลึกด้านกฎหมาย กฎระเบียทางการค้าการลงทุน และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน "คน" สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร ...และการจะให้คนทำงานอย่างมีความสุขภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมตามแนวคิด แฮปปี้ เวิร์กเพลส ได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์อันแรงกล้าของทั้งผู้นำสูงสุดขององค์กร ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ และตัวพนักงานขององค์กรเอง ที่จะร่วมใจกับการเปลี่ยนที่ทำงานให้เป็นบ้านหลังที่สอง และสร้างสรรค์ให้เป็นองค์กรแห่งความสุขอย่างแท้จริง
สนใจแนวคิด "องค์กรแห่งความสุข หรือ Happy Work Place" ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฝากบอกว่าไม่ควรพลาดงาน Happy Workplace Forum:5 Apps to happy Workplace3.0 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 มี.ค.2555 ณ ห้องบอลลูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมwww.thaihealth.or.th
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 00:00:40 น.
แนวทางการบูรณาการความรับผิดชอบต่อสังคม
|
BPM: แผนผังบูรณาการกระบวนการธุรกิจ
BPM: แผนผังบูรณาการกระบวนการธุรกิจ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โดย ไทยแลนด์อินดัสตรี้ดอทคอม วันที่ 2010-06-09 14:12:01 ผู้อ่าน 1617 คน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)